วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

น้ำตกไนแองการ่า

ไนแองการ่า
เมื่อพูดถึงน้ำตกที่โรแมนติกที่สุดหลายคนจะนึกถึงน้ำตกไนแอการา คู่รักหลายคู่เลือกที่ไปฮันนีมูนกันที่นี่ น้ำตกไนแอการาเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา สาเหตุที่มีขนาดใหญ่เพราะจริง ๆ แล้วน้ำตกไนแอการาเกิดจากน้ำในทะเลสาบตกลงสู่อีกทะเลสาบหนึ่ง




น้ำตกไนแอการามีอาณาเขตติดต่อเชื่อมมลรัฐนิวยอร์ก ในประเทศสหรัฐอเมริกา กับมณฑลออนทาริโอ ประเทศแคนาดา แถวนั้นเป็นถิ่นที่มีทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่รวมกัน 5 แห่งที่มีชื่อเรียกรวมกันว่า Great Lakes คือทะเลสาบฮิวรอน (Huron) ออนทาริโอ (Ontario) มิชิแกน (Michigan) อีรี (Erie) และ ซุพีเรียร์ (Superior) (สมัยเด็ก ๆ อาจารย์ที่สอนสังคมศึกษาจะให้ท่องว่า HOMES ซึ่งเป็นอักษรนำของชื่อทะเลสาบทั้งห้า) น้ำตกไนแอการาคือรอยต่อระหว่างทะเลสาบอีรีกับทะเลสาบออนทาริโอ เนื่องจากระดับน้ำในทะเลสาบทั้งสองมีความแตกต่างกัน ตรงช่วงรอยต่อจึงเกิดเป็นน้ำตกที่มีปริมาณน้ำมากมายจนเกิดเป็นน้ำตกไนแอการา

ตำแหน่งที่เป็นดาวในรูปคือน้ำตกไนแอการา




น้ำตกไนแอการาประกอบด้วยสองน้ำตกใหญ่ คือน้ำตกอเมริกัน (American Fall) และน้ำตกแคนาดา (Canadian Fall) หรือน้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Fall) น้ำตกทั้งสองถูกคั่นด้วยเกาะกลางชื่อว่า Goat Island



น้ำตกอเมริกันอยู่ในเขตประเทศสหรัฐอเมริกา มีความกว้างน้อยกว่า สูงน้อยกว่า กว้างเพียง 320 เมตร



ส่วนน้ำตกแคนาดาเป็นน้ำตกรูปเกือกม้า 2 ใน 3 ของน้ำตกอยู่ในเขตประเทศแคนาดา กว้างกว่า สูงกว่า และก็สวยกว่า กว้างถึง 790 เมตร



จริง ๆ แล้วน้ำที่ตกลงมาเป็นน้ำตกไนแอการา จะตกจากฝั่งอเมริกาไปยังฝั่งแคนาดา ฉะนั้นถ้าอยู่ฝั่งอเมริกาจะเห็นแต่ด้านหลังและด้านข้างของน้ำตก ถ้าอยากเห็นวิวเต็ม ๆ ต้องไปดูจากฝั่งแคนาดาย้อนกลับมา แต่สำหรับคนไทยต้องมีวีซ่าแคนาดาด้วยถึงจะข้ามไปชมความงามฝั่งโน้นได้ แต่ฝั่งอเมริกาก็พยายามหาวิธีในการชมความงามของน้ำตกโดยการสร้างหอคอยชะโงกออกไปจากฝั่ง หรือล่องเรือไปตามลำน้ำเพื่อไปใกล้น้ำตกทั้งสอง


ปรุงเนื้อด้วยเครื่องเทศ ป้องกันมะเร็งได้

เนื้อสัตว์ที่ประกอบอาหารด้วยการผ่านความร้อน เช่น อบ ย่าง ต้ม หรือทอด
จะมีสาร Heterocyclic Animes (HCAs) ส่งผลให้ผู้รับประทาน
เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ปอด ตับอ่อน เต้านม และต่อมลูกหมาก
มากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของการให้ความร้อน

สาร HCAs ลดลงได้ด้วยเครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหาร เนื่องจากงานวิจัย
ของ J. Scott Smith ศาสตราจารย์ทางเคมีอาหาร จากมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส
(Kansas) ที่ทำการวิจัยกับเครื่องเทศ 6 ชนิด คือ ยี่หร่า, เมล็ดผักชี, ข่า, กระชาย,
โรสแมรี่ และขมิ้น พบว่ามีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้สูง
ในกระชาย โรสแมรี่ และขมิ้น และสูงที่สุดในโรสแมรี่

งานวิจัยก่อนหน้านี้ยังระบุด้วยว่า เครื่องเทศไทย และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น อบเชย
ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้เช่นกัน แต่มีระดับมากน้อยแตกต่างกัน
ตามชนิดของเครื่องเทศ

แม้ว่าการประกอบอาหารเนื้อสัตว์ ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 177.78 องศาเซลเซียส
ไม่เกิน 4 นาที จะพบ HCAs น้อยมากหรือไม่พบเลย แต่ในความเป็นจริงการทำ
อาหาร 1 จาน มักใช้เวลามากกว่า 4 นาที ดังนั้น เมื่อต้องประกอบอาหารเนื้อสัตว์
หากต้องการลดความเสี่ยงในการเพิ่ม HCAs ควรใส่เครื่องเทศลงในเมนูทุกครั้ง


ที่มา : นิตยสาร Lisa vol.11 no.21 2010-06-02, Spicing the Meat Also Cuts the Cancer Risk, Research Suggests, Try Thai Or Rosemary When Spicing The Meat To Curb Carcinogens

ความเข้าใจผิดเรื่องคอเรสเตอรอลกับกะทิ ถั่ว และไขมันจากพืช

คนส่วนมากมักเข้าใจว่า กะทิ และถั่ว มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริงแล้ว อาหาร
จากพืชนั้นไม่มีคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลมากับอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น

ฉลากอาหารข้างบรรจุภัณฑ์ เช่น ข้างขวดน้ำมันพืชยี่ห้อต่างๆ หรืออาหารแปรรูป
ที่มาจากพืช มักเขียนว่า "ไม่มีคอเลสเตอรอล" นั่นไม่ใช่ความผิด ไม่ได้หลอกลวง
และไม่ได้โกหก แต่เป็นกลยุทธ์การโฆษณา ที่อาจส่งผลให้ผู้บริโภค
เกิดความเข้าใจผิดว่า น้ำมันพืชยี่ห้ออื่นหรืออาหารประเภทเดียวกัน
แต่คนละยี่ห้อมีคอเลสเตอรอล

ดังนั้น เพื่อความแน่นอน หากต้องการทราบว่าอาหารนั้น
มีคอเลสเตอรอลหรือไม่ และให้สารอาหารอะไรบ้าง
ควรอ่านฉลากโภชนาการที่ติดอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์
จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยกลยุทธ์ในการโฆษณา

ที่มา : หนังสือ อาหารบำบัดโรค โดย ศัลยา คงสมบูรณ์

ทะเลทราย

ทะเลทรายสะฮารา

อยู่ทางตอนเหนือของทวีปอัฟริกา ครอบคลุมดินแดนของประเทศต่างๆถึง 10 ประเทศด้วยกัน คือ อียิปต์ , ซูดาน, ลิเบีย, เชด, ไนเกอร์, อัลจิเรีย, มอรอคโค, ตูนิเซีย , มัวริตาเนีย , เอธิโอเปีย และ สะฮารา ของเสปน กินเนื้อที่ถึง 3,500,000 ตารางไมล์ ส่วนกว้างที่สุด 1,100 ไมล์ ส่วนยาวมากที่สุด 3,100 ไมล์ นับเนื่องจากฝั่งมหาสมุทรอัตลันติคทางทิศตะวันตกของทวีป ไปจนจดฝั่งทะเลแดงทางทิศตะวันออก จัดเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในโลก
พื้นที่ทั่วไปส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายล้วนๆ มีภูเขาทรายและเนินทรายอยู่ทั่วๆไปบางแห่งที่มีน้ำใต้ดินหรือแม่น้ำไหลผ่านเท่านั้น จึงมีพืชพันธุ์ต่างๆขึ้นงอกงาม และมีพลเมืองอาศัยอยู่เป็นประจำ แม่น้ำที่ไหลผ่านทะเลทรายแห่งนี้คือ แม่น้ำไนล์ ซึ่งไหลจากทางตอนใต้ของทวีป ผ่านอียิปต์ออกสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียน นับเป็นสายเลือดสำคัญของอียิปต์ ก็ว่าได้
บางส่วนของทะเลทราย ที่มีน้ำใต้ดินพุหรือซึมขึ้นมาจะมีพันธุ์ไม้บางชนิดขึ้นงอกงาม เช่น อินทผลัม เป็นต้น ทำให้ดูเป็น หย่อมเขียวชอุ่มอยู่กลางทะเลทราย เหมือนกับเกาะในทะเล พื้นที่ชนิดนี้เรียกว่า โอเอซิส ( OASIS ) และมีอยู่ทั่วๆไป
ในส่วนที่มีแม่น้ำไหลผ่าน จะมีชุมขนขนาดใหญ่อยู่อาศัยเป็นการถาวรตั้งบ้านตั้งเมืองและประเทศขึ้น แม่น้ำสายใหญ่และสำคัญที่สุด ซึ่งไหลผ่านทะเลทรายแห่งนี้คือ แม่น้ำไนล์ มีต้นกำเนิดจากทางตอนใต้ของทวีปอัฟริกา ไหลผ่านขึ้นไปทางตอนเหนือผ่านตอนกลางประเทศอียิปต์ ออกสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียน แม่น้ำไนล์จึงเป็นเสมือนสายเลือดของประเทศอียิปต์ เพราะถ้าไม่มีแม่น้ำนี้แล้ว ดินแดนอียิปต์ก็จะกลายเป็นทะเลทรายเหมือนกับส่วนอื่นๆของทะเลทรายสะฮารานั่นเอง
ตามทะเลทรายทั่วไป จะมีชนชาติอาหรับเผ่าต่างๆเร่ร่อนทำมาหากินติดต่อค้าขายกับชุมชนที่เป็นเมืองพวกเขาดำรงชีพอยู่ได้ทั้งๆที่พื้นที่ทะเลทรายแห่งนี้เป็นส่วนที่แห้งแล้งกันดารมากที่สุดในโลก






แก้ความจำเสื่อมด้วยใบบัวบก

บัวบก มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ คือ Centella asiatica และมีชื่อภาษาอังกฤษ
คือ Tiger's herb ซึ่งมาจากการที่เสือบาดเจ็บ มักจะลงกลิ้งไปกลิ้งมาบนต้นบัวบก
ที่เลื้อยปกคลุมดิน เพื่อรักษาแผลให้ตัวเอง ผู้คนส่วนมากทราบกันว่าเป็นสมุนไพร
มีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน แต่ในทางการแพทย์แผนโบราณยังมีการกล่าวถึง
สรรพคุณด้านการบำรุงประสาท ลดความบกพร่องในเรื่องการเรียนรู้และความจำ
จากการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและฤทธิ์ป้องกันภาวะสมองเสื่อมของบัวบก
ในวิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสรีรวิทยาทางการแพทย์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ของคุณธนียา หาวิเศษ ในปี พ.ศ. 2549

ทดลองให้สารสกัดน้ำบัวบกแก่หนูตั้งแต่ 100, 300 และ 600 ม.ก.
ต่อน้ำหนักตัว (ก.ก.) เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดบัวบกขนาด 100 ม.ก.
ต่อน้ำหนักตัว (ก.ก.) มีฤทธิ์คลายความกังวล นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดขนาด
600 ม.ก. ต่อน้ำหนักตัว (ก.ก.) มีผลเพิ่มการเรียนรู้และความจำของหนูที่ใช้ทดลอง
ดังนั้น การศึกษานี้จึง สนับสนุนความน่าเชื่อถือในสรรพคุณของบัวบกตามแนวทาง
การแพทย์แผนโบราณ ดังกล่าว

สมุนไพรไทยใกล้ตัวที่มีประโยชน์ หาซื้อง่าย หรือจะปลูกเองก็ไม่ยุ่งยากอย่างบัวบก
สามารถนำมาประกอบอาหารรับประทานได้หลากหลาย โดยนำมาทำเป็นผักจิ้ม
ผักเคียง หรือคั้นแล้วดื่มน้ำจากใบบัวบก ก็บำรุงสมองได้ง่ายๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ
แถมราคาประหยัดอีกด้วย

ที่มา : บัวบกเพิ่มสมาธิ - นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11 ฉบับ 1 ก.ค. 2552,
บัวบก สมุนไพรมหัศจรรย์ บำรุงความจำ บำรุงสุขภาพ - http://www.hiso.or.th/hiso/ghealth/ghealth5_10.php,
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและฤทธิ์ป้องกันภาวะสมองเสื่อมของบัวบก - http://tdc.thailis.or.th

5 วิธีเลือกที่นั่งต้านกระดูกเสื่อม

เมื่อมีอายุมากขึ้นทุกคนอาจเป็นโรคกระดูกเสื่อมได้ตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่
ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน
โรคนี้อาจมาเยือนได้เร็วกว่าบุคคลอื่น ซึ่งวิธีการป้องกันหรือชะลอภาวะกระดูกเสื่อม
แบบง่ายๆ นั้น ทำได้โดยการเลือกที่นั่งให้เหมาะสม 5 วิธี ดังนี้

1. ความสูงของเก้าอี้ ต้องเท่ากับช่วงยาวของขาท่อนล่าง (น่อง) ตั้งแต่ข้อพับ
หลังหัวเข่าลงไปถึงเท้า เพื่อจะได้วางเท้าราบพื้นพอดี

2. รูปร่างของเบาะนั่ง ต้องไม่บุ๋มเป็นแอ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้กระดูเชิงกราน
(ซึ่งเป็นฐานของกระดูกสันหลังทั้งหมด) บิดงอ

3. เบาะไม่ควรอยู่ลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป หากพิงไม่ถึง
และต้องเอนตัวไปด้านหลัง จะทำให้หลังงอ

4. ควรมีพนักพิง เพื่อช่วยดันหลังให้อยู่ในท่าตรงตามธรรมชาติ

5. ที่เท้าแขนอยู่ในระดับที่งอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี เพราะนอกจากใช้พักแขน
และข้อศอกแล้วยังใช้สำหรับดันเพื่อยืดตัวให้ตรงขึ้นได้

เล็กน้อยเพียงเท่านี้คงไม่ยากเกินไปที่จะใส่ใจ
กับสิ่งของที่เราต้องใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน
เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
http://www.lib.ru.ac.th/miscell/images/health_chair.jpg
ที่มา : หนังสือ "เรียนรู้สู้กระดูกเสื่อม" โดยนายแพทย์ถาวร สุทธิยุทธ์ และนิตยสารชีวจิต ฉบับ 1 พ.ค. 2552

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

แนวคิดทางไฟฟ้า

แนวคิดทางไฟฟ้า




ประจุไฟฟ้า


ฟ้าผ่าเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์ที่เกิดจากประจุไฟฟ้าประจุไฟฟ้าเป็นคุณสมบัติของอนุภาคซึ่งเล็กกว่าอะตอม (Subatomic particle) ที่ชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นและมีผลกระทบต่อแรงแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่แรงพื้นฐาน (Fundamential Interaction) ในธรรมชาติ (แรงมูลฐานประกอบด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงโน้มถ่วง, แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน และแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม) ประจุไฟฟ้าเกิดจากอะตอมซึ่งมีปริมาณของอิเล็กตรอนและโปรตอน มันจะอนุรักษ์ประจุของมันเอาไว้ เพราะกลุ่มประจุจะอยู่ในระบบโดดเดี่ยว (Isolated system) ซึ่งจะทำให้ประจุยังคงอยู่ในระบบของมันตลอดเวลา ในระบบประจุสามารถถ่ายเทกันได้ระหว่างอะตอม ถ้าไม่เกิดจากการสัมผัสกันโดยตรงก็เกิดจากการนำประจุของโลหะอย่างเช่นเส้นลวด อาจกล่าวได้ว่าพฤติกรรมของประจุเหล่านี้เป็นไฟฟ้าสถิตก็ได้ โดยทั่วไปจะเกิดจากการขัดถูของวัตถุที่แตกต่างกันสองชนิด จะเกิดการถ่ายเทประจุจากวัตถุชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่ง พฤติกรรมของประจุจะทำให้เกิดแรงแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น แรงของมันเป็นที่รู้กันในอดีต แต่ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าว ลูกบอลน้ำหนักเบาที่ถูกแขวนสามารถมีประจุไฟฟ้าได้จากการกระตุ้นโดยแท่งแก้วที่ขัดถูกับผ้ามาแล้ว ในทำนองเดียวกันลูกบอลที่มีประจุไฟฟ้าโดยการกระตุ้นจากแท่งแก้วเหมือนกันกับลูกบอลลูกแรก เมื่อมาเจอกันก็จะผลักกัน สามารถกล่าวได้ว่าวัตถุที่มีประจุเหมือนกันจะผลักกัน อย่างไรก็ตามถ้าลูกบอลลูกหนึ่งถูกกระตุ้นโดยแท่งแก้ว ส่วนอีกลูกหนึ่งถูกกระตุ้นโดยแท่งอำพัน ลูกบอลสองลูกนั้นจะดึงดูดกัน นั่นคือวัตถุที่มีประจุต่างกันจะดูดกัน ปรากฏการณ์นี้ค้นพบโดยชาร์ลส์ ออกัสติน เดอ คูลอมป์ หลักการก็คือจะเกิดแรงที่ประจุด้วยตัวของมันเอง ดังนั้นประจุจึงมีแนวโน้มที่จะกระจายไปทั่วบริเวณและเป็นไปได้ที่จะกรัจาบไปทั่วผิวหน้าวัตถุ ส่วนสำคัญของเรื่องแรงแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ว่าจะดูดหรือผลักกัน จะเป็นไปตามกฎของคูลอมป์ซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงที่เกิดจากประจุและมีความเกี่ยวข้องกับกฎจัตุรัสตรงข้าม (Inverse-square Law) ระหว่างประจุที่เกิดแรงซึ่งกันและกัน แรงแม่เหล็กไฟฟ้านี้แข็งแรงมาก เป็นรองแค่แรงนิวเคลียร์อย่างเข้มเท่านั้น


กระแสไฟฟ้า


การเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าเราเรียกว่า กระแสไฟฟ้า ความเข้มของมันเราวัดในหน่วยแอมแปร์ กระแสไฟฟ้าสามารถเกิดขึ้นได้แม้ประจุเพียงเล็กน้อย ซึ่งประจุที่ว่านั้นโดยทั่วไปจะหมายถึงอิเล็กตรอน แต่ประจุที่ที่เคลื่อนที่ร่วมกันนั้นเรียกว่ากระแส มีการกำหนดแบบแผนการทิศทางของกระแสให้ประจุบวกเคลื่อนที่ หรือมีการเคลื่อนที่ของประจุจากส่วนที่เป็นขั้วบวกไปยังส่วนที่เป็นขั้วลบในวงจรไฟฟ้าอย่างชัดเจน การกำหนดแบบแผนทิศทางของกระแสไฟฟ้าดังกล่าวเรียกว่า กระแสสมมติ การเคลื่อนที่ของประจุลบในวงจรไฟฟ้าเรียกว่า กระแสอิเล็กตรอน คือหนึ่งในรูปแบบที่นิยมในการกำหนดทิศทางของกระแส ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทิศทางของกระแสสมมติ (ดูการเคลื่อนที่ของประจุบวก) จะเคลื่อนที่ตรงข้ามกับทิศทางของกระแสอิเล็กตรอน (ดูการเคลื่อนที่ของประจุลบ) อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่ที่การใช้งาน กระแสอิเล็กตรอนใช้ในการรวมประจุให้ไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนกระแสสมมติก๋ใช้วิเคราะห์ได้ง่ายและกว้าง ในการเกิดกระแสไฟฟ้าจะผ่านวัสดุที่เรียกว่าตัวนำไฟฟ้า มีวัสดุธรรมชาติมากมายที่สามารถก่อให้เกิดประจุได้ ตัวอย่างของกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในวัตถุตัวนำก็คือ อิเล็กตรอนที่ไหลอยู่ในตัวนำไฟฟ้า อาทิโลหะ หรือการอิเล็กโตรไลซิส(คือการที่ไอออนไหลอยู่ในของเหลว) โดยปกติแล้วมันจะไหลช้ามากๆ บางทีเฉลี่ยเป็นแค่ความเร็วลอยเลื่อนเท่านั้น คิดเป็นเพียงเศษของมิลลิเมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว สนามไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวของมันเอง ด้วยการแพร่ไปด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง ทำให้สัญญาณอิเล็กตรอนสามารถส่งผ่านไปยังสายตัวนำอย่างรวดเร็ว


กระแสไฟฟ้ามีกรณีที่สังเกตเห็นได้ในหลายเหตุการณ์ ตามประวัติศาสตร์นั่นหมายความว่ามันเป็นที่รู้จักมานานแล้ว น้ำสามารถถูกแยกได้โดยกระแสจากโวตาอิก ไพล์ (แบตเตอรี่ของโวลต้า) ซึ่งค้นพบโดยวิลเลี่ยม นิโคลสันกับเซอร์ แอนโธนี คาร์ลิเซิลสองนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 1800 โดยกระบวนการอิเล็กโตรไลซิส ในเรื่องของไฟฟ้ากระแสยังมีการกล่าวถึงความต้านทาน ซึ่งเกิดจากความร้อน ผลกระทบนี้เจมส์ เพรสคอต จูลได้ทำการศึกษามันทางคณิตศาสตร์ในปี พ.ศ. 2383 เรื่องสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับกระแสเรื่องหนึ่งนั้นถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยฮันส์ คริสเตียน เออร์สเตดในปีพ.ศ. 2363 เมื่อครั้งที่เขากำลังเตรียมการสอน เขาพบเห็นกระแสในเส้นลวดทำให้เกิดแม่เหล็กขึ้นล้อมรอบ เออร์สเตดจึงค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างแม่เหล็กกับไฟฟ้า ซึ่งต่อมาเรียกว่าแม่เหล็กไฟฟ้า

ในทางวิศวกรรมหรือการใช้งานตามอาคารบ้านเรือน เรามักจะพบเจอกับกระแสไฟฟ้าอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) หรือไฟฟ้ากระแสสลับ (AC)


สนามไฟฟ้า


สนามไฟฟ้า (electric field) คือปริมาณซึ่งใช้บรรยายการที่ประจุไฟฟ้าทำให้เกิดแรงกระทำกับอนุภาคมีประจุภายในบริเวณโดยรอบ หน่วยของสนามไฟฟ้าคือ นิวตันต่อคูลอมบ์ หรือโวลต์ต่อเมตร (มีค่าเท่ากัน) สนามไฟฟ้านั้นประกอบขึ้นจากโฟตอนและมีพลังงานไฟฟ้าเก็บอยู่ ซึ่งขนาดของความหนาแน่นของพลังงานขึ้นกับกำลังสองของความหนานแน่นของสนาม ในกรณีของไฟฟ้าสถิต สนามไฟฟ้าประกอบขึ้นจากการแลกเปลี่ยนโฟตอนเสมือนระหว่างอนุภาคมีประจุ ส่วนในกรณีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น สนามไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสนามแม่เหล็ก โดยมีการไหลของพลังงานจริง และประกอบขึ้นจากโฟตอนจริง


ศักย์ไฟฟ้า


ศักย์ไฟฟ้า หรือ เรียกว่าศักดาไฟฟ้า คือระดับของพลังงานศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ ในสนามไฟฟ้า จากรูป ศักย์ไฟฟ้าที่ A สูงกว่าศักย์ไฟฟ้าที่ B เพราะว่าพลังงานศักย์ไฟฟ้าที่ A สูงกว่าที่ B ศักย์ไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ศักย์ไฟฟ้าบวก เป็นศักย์ของจุดที่อยู่ในสนามของประจุบวก และศักย์ไฟฟ้าลบ เป็นศักย์ของจุดที่อยู่ในสนามของประจุลบ ศักย์ไฟฟ้าจะมีค่ามากที่สุดที่ประจุต้นกำเนิดสนาม และมีค่าน้อยลง เมื่อห่างออกไป จนกระทั่งเป็นศูนย์ที่ ระยะอนันต์ (infinity) ในการวัดศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ วัดจากจำนวนพลังงานศักย์ไฟฟ้า ที่เกิดจากการเคลื่อนประจุทดสอบ +1 หน่วย ไปยังจุดนั้น ดังนั้น จึงให้นิยามของศักย์ไฟฟ้าได้ว่า ศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ ในสนามไฟฟ้า คือ พลังงานนี้สิ้นเปลืองไปในการเคลื่อนประจุ ทดสอบ +1 หน่วยประจุจาก infinity มายังจุดนั้น หรือจากจุดนั้นไปยัง infinity ศักย์ไฟฟ้ามีหน่วยเป็นโวลต์


แม่เหล็กไฟฟ้า


แม่เหล็กไฟฟ้า คือ แท่งแม่เหล็กที่เกิดจากอำนาจไฟฟ้า โดยการพันขดลวดที่มีกระแสไฟฟ้าไหลรอบๆแกนแม่เหล็ก เมื่อกดคุณกดปุ่ม บันทึก ถือว่าคุณยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน และคุณตกลงให้ข้อความที่คุณเผยแพร่นั้นอยู่ภายใต้สัญญาอนุญาต CC-BY-SA 3.0 และ GFDL โดยไม่สามารถแก้กลับคืน คุณยอมรับว่าการใส่ลิงก์กลับมายังหน้านี้เพียงพอสำหรับนำเนื้อหาของคุณไปใช้ในทุกกรณี โปรดทราบ เมื่อคุณกดบันทึก ผลการแก้ไขของคุณจะปรากฏแก่สาธารณะในทันที หากคุณต้องการทดลอง กรุณาใช้หน้าทดลองเขียนแทน โปรดเพิ่มเฉพาะเนื้อหารูปแบบสารานุกรม พร้อมแหล่งอ้างอิงซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากแหล่งข้อมูลอื่น และกรุณาเขียนอย่างเป็นกลาง ไม่มีอคติ โปรดอย่าคัดลอกและวางเนื้อหาจากแหล่งที่มีลิขสิทธิ์ มีเพียงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสาธารณสมบัติเท่านั้นที่สามารถคัดลอกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต


วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

อัคคีภัย

อัคคีภัย

อัคคีภัย หมายถึง ภัยอันตรายอันเกิดจากไฟที่ขาดการควบคุมดูแล ทำให้เกิดการติดต่อลุกลามไปตามบริเวณที่มีเชื้อเพลิงเกิดการลุกไหม้ต่อเนื่อง สภาวะของไฟจะรุนแรงมากขึ้นถ้าการลุกไหม้ที่มีเชื้อเพลิงหนุนเนื่อง หรือมีไอของเชื้อเพลิงถูกขับออกมามากความร้อนแรงก็จะมากยิ่งขึ้น สร้างความสูญเสียให้ทรัพย์สินและชีวิต
สาเหตุของอัคคีภัย
สาเหตุของอัคคีภัยจนทำให้เกิดการลุกลามเกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่นั้น อาจเกิดได้ 2 ลักษณะใหญ่คือ
สาเหตุของอัคคีภัยอันเกิดจากการตั้งใจ และสาเหตุของอัคคีภัยอันเกิดจากการประมาทขาดความระมัดระวังหรือมิได้ตั้งใจ
1.สาเหตุของอัคคีภัยอันเกิดจากความตั้งใจ เช่น การลอบวางเพลิงหรือการก่อวินาศกรรม ซึ่งเกิดจากการจูงใจอันมีมูลสาเหตุจูงใจที่ทำให้เกิดการลอบวางเพลิง อาจเนื่องมาจากเป็นพวกโรคจิต
2.สาเหตุของอัคคีภัยอันเกิดจากความประมาท ขาดความระมัดระวัง ในกรณีนี้พอจะแบ่งเป็นประเด็นหลักๆ ได้ 2 ประเด็นคือ
1.ขาดความระมัดระวังทำให้เชื้อเพลิงแพร่กระจาย ในกรณีดังกล่าวนี้เกิดจากการทำให้สิ่งที่เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสารลุกไหม้ไฟหรือติดไฟได้แพร่กระจายเมื่อไปสัมผัสกับความร้อนก็จะเป็นสาเหตุของการเกิดอัคคีภัยได้ ตัวอย่างเช่น ในบริเวณที่มีไอของตัวทำละลาย หรือน้ำมันเชื้อเพลิงแพร่กระจาย เมื่อไปสัมผัสกับแหล่งความร้อน เช่น บริเวณที่มีจุดสูบบุหรี่ก็จะทำให้เกิดอัคคีภัยได้
2.ขาดความระมัดระวังการใช้ไฟและความร้อน ในกรณีดังกล่าวนี้ก็เช่นกันทำให้แหล่งความร้อนซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบและลักษณะต่างๆ กัน เช่น ความร้อนจากอุปกรณ์ไฟฟ้า การเชื่อมตัด เตาเผา เป็นต้น ทำให้แหล่งกำเนิดความร้อนนั้นไปสัมผัสกับเชื้อเพลิงในสภาพที่เหมาะสม ก็จะเป็นสาเหตุของอัคคีภัยได้ ตัวอย่างเช่น การที่สะเก็ดไฟจากการเชื่อมติดด้วยไฟฟ้า หรือก๊าซไปตกลงในบริเวณที่มีกองเศษไม้หรือผ้าทำให้เกิดการคุกรุ่นลุกไหม้เกิดอัคคีภัย

แหล่งกำเนิดอัคคีภัย
แหล่งกำเนิดอัคคีภัยเป็นสาเหตุของการจุดติดไฟมีสาเหตุและแหล่งกำเนิดแตกต่างกันไปดังต่อไปนี้
1.อุปกรณ์ไฟฟ้า
2.การสูบบุหรี่หรือการจุดไฟ
3.ความเสียดทานของประกอบของเครื่องจักร เครื่องยนต์
4.เครื่องทำความร้อน
5.วัตถุที่มีผิวร้อนจัด เช่น เหล็กที่ถูกเผา ท่อไอน้ำ
6.เตาเผาซึ่งไม่มีฝาปิดหรือเปลวไฟที่ไม่มีสิ่งปกคลุม
7.การเชื่อมและตัดโลหะ
8.การลุกไหม้ด้วยตัวเอง เกิดจากการสะสมของสารบางชนิด เช่น พวกขยะแห้ง ถ่านหินจะก่อให้เกิดความร้อนขึ้นในตัวของมันเอง จนกระทั่งถึงจุดติดไฟ
9.เกิดจากการวางเพลิง
10.ประกายไฟที่เกิดจากเครื่องจักรขัดข้อง
11.โลหะหรือวัตถุหลอมเหลว
12.ไฟฟ้าสถิตเ
13.ปฏิกิริยาของสารเคมีบางชนิด เช่น โซเดียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส เมื่อสัมผัสกับน้ำ อากาศ หรือวัสดุอื่นๆ ทำให้เกิดการลุกไหม้ได้
14.สภาพบรรยากาศที่มีสิ่งปนเปื้อนก่อให้เกิดการระเบิดได้
15.จากสาเหตุอื่น ๆ
ผลกระทบที่เกิดจากอัคคีภัย
ผลที่เกิดขึ้นจากอัคคีภัยโดยตรงที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตอันเนื่องมาจากความร้อน เกิดความเสียหายแก่อาคารสถานที่ และเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยตรง เมื่อไฟไหม้ จะทำให้โรงงานอุตสาหกรรมเกิดความเสียหาย เครื่องจักรถูกทำลายต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้างขึ้นมาใหม่หรือจัดหาเครื่องจักรใหม่มาทดแทนของเก่า
การป้องกันและลดความสูญเสียจากอัคคีภัย
1.การจัดระเบียบเรียบร้อยดี หมายถึง การป้องกันการติดต่อลุกลาม โดยจัดระเบียบในการเก็บรักษา สารสมบัติที่น่าจะเกิดอัคคีภัยได้ง่ายให้ถูกต้องตามลักษณะการเก็บรักษา สารสมบัตินั้น ๆ ทั้งภายในและภายนอกอาคารให้เรียบร้อย โดยไม่สะสมเชื้อเพลิงไว้เกินประมาณที่กำหนด เพราะเมื่อเกิดเพลิงไหม้ย่อมทำให้เกิดการติดต่อลุกลามขึ้นได้
2.การตรวจตราซ่อมบำรุงดี หมายถึง การกำจัดสาเหตุในการกระจายตัวของเชื้อเพลิงและความร้อน เช่น การตรวจตราการไหลรั่วของเชื้อเพลิงต่าง ๆ พร้อมทั้งการควบคุมดูแลมิให้เกิดการกระจายตัวของความร้อนของเครื่องทำความร้อน
3.การมีระเบียบวินัยดี หมายถึง การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย เช่น สถานที่ใดที่ให้มีไว้ซึ่งเครื่องดับเพลิง
4.ความร่วมมือที่ดี หมายถึง การศึกษาหาความรู้ความเข้าใจในการป้องกันและระงับอัคคีภัย โดยการฝึกการใช้อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการดับเพลิง ตลอดจนการฝึกซ้อมในการปฏิบัติตามแผนฉุกเฉินเมื่อเกิดเพลิงไหม้

credit : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2

555+

ภูเขาไฟ (vulcano)

ภูเขาไฟ เป็นธรณีสัณฐาน (โดยทั่วไป คือ ภูเขา) ที่หินหนืด (หินภายในโลกที่ถูกหลอมเหลวด้วยความดันและอุณหภูมิสูง) ปะทุผ่านขึ้นมายังพื้นผิวของดาวเคราะห์ แม้ว่าเราจะสามารถพบภูเขาไฟได้หลายแห่งบนดาวเคราะห์หินและดาวบริวารในระบบสุริยะ แต่บนโลก ภูเขาไฟมักเกิดขึ้นใกล้กับแนวรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีภูเขาไฟที่เป็นข้อยกเว้น เรียกว่า ภูเขาไฟจุดร้อน

ไฟล์:Mahameru-volcano.jpeg



ผลกระทบจากการระเบิดของภูเขาไฟ



  • แรงสั่นสะเทือน มีทั้งการเกิดแผ่นดินไหวเตือน แผ่นดินไหวจริง และแผ่นดินไหวติดตาม ถ้าประชาชนไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเชินภูเขาไฟอาจหนีไม่ทันเกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน

  • การเคลื่อนที่ของลาวา อาจไหลออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟเคลื่อนที่รวดเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มนุษยและสัตว์อาจหนีภัยไม่ทันเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

  • เกิดเถ้าภูเขาไฟ บอมบ์ภูเขาไฟ ระเบิดขึ้นสู่บรรยากาศ ครอบคลุมอาณาบริเวณใกล้ภูเขาไฟ และลมอาจพัดพาไปไกลจากแหล่งภูเขาไฟระเบิดหลายพันกิโลเมตร เช่น ภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดที่เกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์


  • เกิดคลื่นสึนามิ ขณะเกิดภูเขาไประเบิด โดยเฉพาะภูเขาไฟใต้ท้องมหาสมุทร คลื่นนี้จะโถมเข้าหาฝั่งสูงกว่า 30 เมตร

  • หลังจากภูเขาไฟระเบิด เถ้าภูเขาไฟจะถล่มลงมา ทำให้พื้นที่ใกล้เคียงถูกทำลาย


วิธีป้องกันตัวขณะภูเขาไฟระเบิด



  • สวมเสื้อคลุม กางเกงขายาว ถุงมือเพื่อป้องกันเถ้าภูเขาไฟและความร้อนจากการระเบิด

  • ใส่หน้ากากอนามัย แว่นตาทุกชนิดเพื่อป้องกันเถ้าภูเขาไฟ

  • เตรียมเสบียง ยารักษาโรค เครื่องใช้ที่จำเป็นรวมทั้งเครื่องมือสื่อสารเช่นโทรศัพท์ วิทยุFM,AM

  • ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างเคร่งครัดและเมื่อทางการสั่งอพยพให้อพยพออกจากพื้นที่ทันทีอาจไปรวมตัวกันที่สถานที่หลบภัยทันที

  • ไม่ควรหลบอยู่ในอาคารสิ่งก่อสร้างเพราะอาจถล่มลงมาจากแผ่นดินไหวหรือเถ้าภูเขาไฟ

credit : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F

พายุไซโคลน & เฮอริเคน

พายุหมุนไซโคลน



พายุไซโคลน เฮอร์ริเคน ไต้ฝุ่น วิลลี-วิลลี บาเกียว และพายุหมุนเขตร้อนคือพายุชนิดเดียวกันแต่มีชื่อเรียกต่างกันไปตามถิ่นที่เกิดเท่านั้น ชื่อเรียกกลางคือ "พายุหมุนเขตร้อน" (Tropical cyclone)



พายุหมุนเขตร้อน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถทำความเสียหายได้รุนแรง และเป็นบริเวณกว้างมีลักษณะเด่น คือ มีศูนย์กลางหรือที่เรียกว่า ตาพายุ เป็นบริเวณที่มีลมสงบ อากาศโปร่งใส โดยอาจมีเมฆและฝนบ้างเล็กน้อยล้อมรอบด้วยพื้นที่บริเวณกว้างรัศมีหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งปรากฏฝนตกหนักและพายุลมแรง ลมแรงพัดเวียนเข้าหาศูนย์กลาง ดังนั้น ในบริเวณที่พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนที่ผ่าน ครั้งแรกจะปรากฏลักษณะอากาศโปร่งใส เมื่อด้านหน้าของพายุหมุนเขตร้อนมาถึงจะ ปรากฏลมแรง ฝนตกหนักและมีพายุฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและอาจปรากฏพายุทอร์นาโด ในขณะตาพายุมาถึง อากาศจะโปร่งใสอีกครั้ง และเมื่อด้านหลังของพายุหมุนมาถึงอากาศจะเลวร้ายลงอีกครั้งและรุนแรงกว่าครั้งแรก


ชนิดและการกำหนดชื่อพายุเขตร้อน


พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเล ในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจำนวนมากรวมตัวกันอยู่โดยไม่ปรากฏการหมุนเวียนของลม หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงนี้ เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยก็จะพัฒนาตัวเองต่อไป จนปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน ในซีกโลกเหนือทิศของลมเวียนเป็นวนทวนเข็มนาฬิกาเข้าสู่ศูนย์กลางของพายุ พายุหมุนในแต่ละช่วงของความรุนแรงจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม ความเร็วลมในระบบหมุนเวียนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือ ในขณะเป็นพายุดีเปรสชั่นความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าไม่เกิน 33 นอต ในขณะที่เป็นพายุโซนร้อนความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าอยู่ระหว่าง 34 – 63 นอต และในขณะเป็นพายุหมุนเขตร้อนหรือไต้ฝุ่น ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางจะมีค่าตั้งแต่ 64 นอตขึ้นไป ดังนั้นสามารถแบ่งชนิดของพายุเขตร้อนได้ดังนี้




  1. ดีเปรสชั่น (Depression) สัญลักษณ์ D ความเร็วสูงสุด 33 นอต (17 เมตร/วินาที) (62 กิโลเมตร/ ชั่วโมง)ไม่นับเป็นพายุหมุน


  2. พายุโซนร้อน (Tropical Storm) สัญลักษณ์ S ความเร็วสูงสุด 34-63 นอต (17-32 เมตร/วินาที) (63-117 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ไม่นับเป็นพายุหมุน


  3. พายุหมุนเขตร้อน ความเร็วสูงสุด 64-129 นอต (17 เมตร/วินาที) (118-239 กิโลเมตร/ชั่วโมง) นับเป็นพายุหมุน


พายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกและมีความแรงของลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุมากกว่า 33 นอต จะเริ่มมีการกำหนดชื่อเรียก โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกได้จัดรายชื่อเพื่อเรียกพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกไว้เป็นสากล เพื่อทุกประเทศในบริเวณนี้ใช้เพื่อเรียกพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวขึ้น โดยเรียงตามลำดับให้เหมือนกัน


ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา ได้เกิดระบบการตั้งชื่อพายุเป็นภาษาพื้นเมืองของแต่ละประเทศสมาชิกในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนบนและแถบทะเลจีนใต้ 14 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และไทย โดยนำชื่อมาเรียงเป็น 5 สดมภ์ เริ่มจากกัมพูชาจนถึงเวียดนามในสดมภ์ที่ 1 เมื่อหมดแล้วให้เริ่มขึ้นสดมภ์ที่ 2 ถึง 5 แล้วจึงเวียนมาเริ่มที่สดมภ์ 1 อีกครั้ง จนกว่าจะมีการกำหนดชื่อพายุครั้งใหม่อีก


ประเทศไทยได้รับผลกระทบจาก พายุหมุนเขตร้อน ที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก และพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเราเรียกว่า ไซโคลน แม้พายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดียจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ก็สามารถก่อความเสียหายต่อประเทศไทยได้เช่นกัน เมื่อทิศการเคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณใกล้ประเทศไทยทางด้านตะวันตก ในกรณีของพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้นั้นจะเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทยในบริเวณต่างๆ ของประเทศแตกต่างกันตามฤดูกาล


ลักษณะเฉพาะ


พายุไซโคลนหรือพายุหมุนเขตร้อนซึ่งจะต้องมีความเร็วลมมากกว่า 64 นอต (32 เมตร/วินาที , 74 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 118 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ขึ้นไป และมักจะมี “ตา” ซึ่งเป็นบริเวณที่ลมค่อนข้างสงบและมีความกดอากาศค่อนข้างต่ำอยู่กลางวงหมุน ตาพายุนี้จะเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายดาวเทียมเป็นวงกลมเล็กที่ไม่มีเมฆ รอบตาจะมีกำแพงล้อมที่มีขนาดกว้างประมาณ 16-80 กิโลเมตร เป็นบริเวณที่มีพายุฝนและลมหมุนที่รุนแรงมากหมุนวนรอบๆ ตา



การเคลื่อนตัวของเมฆรอบศูนย์กลางพายุก่อตัวเป็นรูปขดวงก้นหอยที่เด่นชัด แถบหรือวงแขนที่อาจยื่นโค้งเป็นระยะที่ยาวออกไปได้มากในขณะที่เมฆถูกดึงเข้าสู่วงหมุน ทิศทางวงหมุนเข้าสู่ศูนย์กลางของพายุขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดว่าอยู่ ณ ส่วนใดของซีกโลกดังกล่าวแล้ว หากอยู่ซีกโลกเหนือ พายุจะหมุนทวนเข็มนาฬิกา ด้านซีกโลกใต้จะหมุนตามเข็มนาฬิกา ความเร็วสูงสุดของพายุหมุนเขตร้อนที่เคยวัดได้มีความเร็วมากกว่า 85 เมตร/วินาที (165 นอต, 190 ไมล์/ชั่วโมง, 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง) พายุที่รุนแรงมากและอยู่ในระยะก่อตัวช่วงสูงสุดบางครั้งอาจมีรูปร่างของโค้งด้านในแลดูเหมือนอัฒจรรย์สนามแข่งขันฟุตปอลได้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้งในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า “ปรากฏการณ์อัฒจรรย์” (stadium effect)


วงหมุนที่เกิดผนังตาพายุจะเกิดตามปกติเมื่อพายุมีความรุนแรงมาก เมื่อพายุแรงถึงขีดสุดก็มักจะเกิดการหดตัว ของรัศมีกำแพงตาพายุเล็กลงถึงประมาณ 8-24 กิโลเมตร (5-15 ไมล์)ซึ่งบางครั้งอาจไม่เกิด ถึงจุดนี้เมฆฝนอาจก่อตัวเป็นแถบอยู่ด้านนอกแล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าวงในแย่งเอาความชื้นและแรงผลักดันหรือโมเมนตัมจากผนังตาพายุ ทำให้ความรุนแรงลดลงบ้าง (ความเร็วสูงสุดที่ผนังลดลงเล็กน้อยและความกดอากาศสูงขึ้น) ในที่สุดผนังตาพายุด้านนอกก็จะเข้ามาแทนผนังในจนหมด ทำให้พายุกลับมามีความเร็วเท่าเดิม แต่ในบางกรณีอาจกลับเร็วขึ้นได้ แม้พายุหมุนจะอ่อนตัวลงที่ปลายผนังตาที่ถูกแทนที่ แต่ที่จริงแล้วการเพิ่งผ่านปรากฏการณ์ลักษณะนี้ในรอบแรกและชะลอการเกิดในรอบต่อไป เป็นการเปิดโอกาสให้ความรุนแรงสะสมตัวเพิ่มขึ้นอีกได้ถ้ามีสภาวะที่เหมาะสม


พายุหมุนที่สร้างความเสียหายมาก



พายุหมุนเขตร้อนแกลวิสตัน หรือ "เฮอร์ริเคนแกลวิสตัน" นับเป็นพายุหมุนเขตร้อนหรือพายุเฮอร์ริเคนที่สร้างความเสียหายหนักมากพายุหนึ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ พายุหมุนเขตร้อนแกลวิสตันขึ้นฝั่งในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2443 พายุนี้เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติกและขึ้นฝั่งที่เมืองแกลวิสตัน รัฐเทกซัส มีความเร็วลม 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง จัดอยู่ในพายุเฮอร์ริเคนประเภท 4 ตามมาตรวัดพายุซิมป์สัน ทำให้เมืองแกลวิสตันเสียหายอย่างหนักและมีผู้เสียชีวิตมากถึง 8,000 คน และหากนับการเสียชีวิตที่อื่นด้วยประมาณว่าอาจรวมได้ถึง 12,000 คน จัดเป็นพายุเฮอร์ริเคนแอตแลนติกที่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกหลัง "มหาพายุเฮอร์ริเคนแห่งปี พ.ศ. 2323" และ "เฮอร์ริเคนมิทช์" เมื่อ พ.ศ. 2541 แต่นับเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่สร้างความเสียหายและคร่าชีวิตผู้คนอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา


รูปภาพ


Tornado

ทอร์นาโด
            ทอร์นาโด (tornado อ่านว่า ทอร์เนโด) เป็นพายุที่เกิดจากการหมุนของอากาศ สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ โดยลักษณะที่พบได้บ่อยสุดคือลักษณะรูปทรงกรวย โดยส่วนปลายโคนชี้ลงที่พื้น ทอร์นาโดสามารถก่อพลังทำลายได้สูง โดยความเร็วลมสามารถสูงมากถึง 500 กม/ชม (300 ไมล์/ชม) ซึ่งก่อให้เกิดการพังทลายของสิ่งก่อสร้างได้
            ทอร์นาโดเกิดขึ้นจากลมร้อนและลมเย็นมาเจอกันและก่อตัวให้เกิดลมหมุน และเมื่อลมหมุนในระดับที่ไม่คงที่ ทำให้ปลายข้างหนึ่งลงมาสัมผัสที่พื้นก่อให้เกิดทอร์นาโดได้ โดยทอร์นาโดสามารถส่วนใหญ่เกิดในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่สามารถก่อให้เกิดลมร้อนและไอเย็นปะทะกันบริเวณทุ่งราบ
            ทอร์นาโดแบ่งออกเป็นรายระดับตามกำลังทำลายและความเร็วลม โดยแบ่งเป็น F0 - F5 โดย F0 เป็นทอร์นาโดที่อ่อนกำลังสุด และ F5 เป็นทอร์นาโดที่กำลังแรงสุด
การจำแนกระดับของทอร์นาโด จะยึดตาม Fujita scale ซึ่งกำหนดให้พายุในแต่ละระดับมีความแรงดังนี้
                                          พายุ F0 ความเร็วลม 64-116 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

พายุ F1 ความเร็วลม 117-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

พายุ F2 ความเร็วลม 181-253 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

พายุ F3 ความเร็วลม 254-332 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

พายุ F4 ความเร็วลม 333-418 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

พายุ F5 ความเร็วลม 419-512 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

            จากการสำรวจเก็บสถิติ พบว่า ทุกๆ การเกิดพายุทอร์นาโด 1,000 ครั้ง จะเป็นระดับ F0 จำนวนประมาณ 389 ครั้ง , ระดับ F1 จำนวนประมาณ 356 ครั้ง , ระดับ F2 จำนวนประมาณ 194 ครั้ง , ระดับ F3จำนวนประมาณ 49 ครั้ง , ระดับ F4 จำนวนประมาณ 11 ครั้ง และระดับ F5 จำนวนประมาณ 1 ครั้ง
ความแรงของพายุ ส่งผลกับขนาด และการสลายตัวของพายุด้วย พายุระดับ F0-F1 อาจมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 100 เมตร และเคลื่อนตัวไปได้ไม่กี่กิโลเมตรก็สลายตัวไป ในขณะที่พายุ F5 อาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่า 1,600 เมตร และเคลื่อนตัวไปได้มากกว่า 100 กิโลเมตรก่อนจะสลายตัว ซึ่งการที่พายุที่ระดับสูงกว่าจะทำให้พายุมีขนาดใหญ่และสลายตัวช้าด้วย
            ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1925 ในสหรัฐอเมริกา เกิดพายุทอร์นาโดขึ้นพร้อมกัน 9 ลูก เป็น F2 จำนวน 2 ลูก , F3 จำนวน 4 ลูก , F4 จำนวน 2 ลูก และ F5 จำนวน 1 ลูก เคลื่อนตัวถล่มมลรัฐมิสซูรี่ , อิลลินอยส์ , อินเดียนา , เคนทักกี , เทนเนสซี , อลาบามา และ มลรัฐแคนซัส มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 747 คน ซึ่งในจำนวนนั้น เฉพาะพายุ F5 เพียงลูกเดียวนั้น คร่าชีวิตผู้คนไป 695 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตจากพายุลูกอื่นๆ อีก 8 ลูก รวมกัน ได้เพียง 50 กว่าคนเท่านั้น ทำให้พายุ F5 ลูกนั้นที่เกิดขึ้นเป็นพายุทอร์นาโดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ความเสียหายทางชีวิตและทรัพย์สินมีมูลค่าเทียบเป็นปัจจุบันได้มากกว่า 1862 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก!!

เด็กดีดอทคอม :: ย้อนรอยปี 1931 น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลกที่เมืองจีน
 น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก 
เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1931  ที่เมืองนานกิง ประเทศจีน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีนในขณะนั้น เรียกได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงมากที่สุดและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก  เหตุการณ์น้ำท่วมนี้กินเวลาตั้งแต่เดือนกรกฏาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 1931 รวมแล้วกว่า 5 เดือนเลยทีเดียว
  ก่อนหน้านั้น 2  ปีคือตั้งแต่ปี 1928 เกิดความแห้งแล้งอย่างยาวนานจนไม่มีใครคาดว่าจะนำมาซึ่งน้ำท่วมครั้งใหญ่ จากนั้นในช่วงฤดูหนาวปี 1930 ประเทศจีนแถบตอนกลางก็เกิดมวลอากาศแปลกๆ คือมีหิมะตกหนักมาก และทุกครั้งที่หิมะตกหนักก็จะตามมาด้วยฝนที่ตกหนักมากเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และยังเพิ่มปริมาณมากเรื่อยๆ

จนมาถึงเดือนกรกฎาคมปี 1931 ในที่สุดก็มีพายุไซโคลนลูกใหญ่เกิดขึ้นเหนือแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำฮวงโห และเข้าตีมณฑลนานกิงในยามดึกที่ทุกคนกำลังนอนหลับอยู่ และเมื่อพายุเข้าโจมตีเมือง มีผู้เสียชีวิตทันทีจากการจมน้ำจำนวน 200,000 คน โดยระดับน้ำสูงสุดที่บันทึกได้เกิดขึ้นวันที่ 19 สิงหาคม สูงถึง 16 เมตร !!
           จำนวนผู้เสียชีวิตที่แน่นอนยังไม่มีการสรุปแน่ชัดว่าจำนวนเท่าไหร่กันแน่ เพราะสำนักข่าวจีนให้ข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 145,000 คน  และไร้ที่อยู่อาศัยกว่าเกือบ 30 ล้านคน แต่สำนักข่าวตะวันตกส่วนมากให้ข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตเกือบ 4 ล้านคน
  การเกิดน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก เพราะเกิดขึ้นริมแม่น้ำฮวงโหซึ่งมีขนาดใหญ่และมีความยาว 5,464 กิโลเมตร แม่น้ำนี้เป็นรากฐานประวัติศาสตร์และอารยธรรมของชาวจีน เป็นทั้งแหล่งเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และมีผลต่อความเป็นอยู่ของคนในสังคมมาก 
เด็กดีดอทคอม :: ย้อนรอยปี 1931 น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลกที่เมืองจีน
            และเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมแล้ว ก็ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าใจหลายอย่างตามมาทีหลัง เช่น หลังจากน้ำท่วมแล้ว มีผู้เสียชีวิตจากโรคอหิวาตกโรคและไข้รากสาดใหญ่จำนวนมาก มีการฆ่าทารกที่รอดชีวิตทิ้งเพราะไม่มีเงินเลี้ยงดู มีการขายภรรยาและลูกกิน รวมถึงยังส่งผลต่อเมืองใกล้เคียง เช่น ฮู๋หนาน เจียงซี อู่ฮั่น หูเป่ย เป็นต้น

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

การออกเเบบเเละการสร้างเว็บไซต์

1. การวิเคราะห์งาน การสร้างเว็บไซต์หนึ่งๆ ผู้สร้างต้องนึกถึงผู้ดูก่อนว่าเป็นกลุ่มใด เนื้อหาสาระอะไร ผู้สร้างจะต้องรู้จักการวิเคราะห์ว่าใครคือผู้ดู เรื่องอะไร ใช้สื่อแบบใด รวมทั้งให้เกิดผลอย่างไร

2.จะต้องรู้จักการวิเคราะห์เนื้อหาสาระที่จะนำมาสร้างเว็บไซต์หนึ่งๆ นั้นจะแบ่งเป็นหน่วยย่อยต่างๆ ได้เท่าใด จึงครอบคลุมเนื้อหาตามจุดประสงค์ที่กำหนด

3.การออกแบบ ขั้นตอนการออกแบบจะต้องสามารถแปลมโนทัศน์หลักการในแต่ละเรื่องหรือเนื้อหาย่อยให้เป็นภาพให้ได้ เพราะการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ทางสายตานั้นผู้เรียนจะรับรู้ได้มากที่สุด เปรียบเสมือนการสร้างถนนสิบเลนให้ผู้ดูขับรถผ่าน

4.การพัฒนาเว็บไซต์และเว็บเพจ เป็นการดำเนินการสร้างตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ในสคริปต์ ถ้าผู้ออกแบบได้ออกแบบเว็บหน้าต่างๆ ไว้ชัดเจนการพัฒนาก็สะดวกและง่าย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องลงมือผลิตเองต้องมีคำอธิบายต่างๆ มากมาย จึงจะทำให้งานตรงตามเป้าหมายที่ต้องการ

5.การลงมือสร้างเว็บเพจจะต้องอาศัยทักษะด้านการออกแบบ เช่น การสร้างตัวอักษร การเขียนและ การเลือกภาพ

6.การปรับปรุงและแก้ไข เว็บไซต์ที่ได้ออกแบบมาอย่างดีไม่ได้หมายความว่าจะดีดังที่ใจผู้สร้างคิด เพราะผู้ที่สร้างเว็บไซต์นั้นดีหรือไม่ดีนั้นก็คือชมนั้นเอง ดังนั้น เมื่อสร้างเสร็จแล้วต้องนำไปทดลองใช้ และการปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ชม

7.การปรับปรุงแก้ไขนี้ ผู้ออกแบบเว็บไซต์หรือเว็บเพจจะสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ทุกขั้นตอนที่ผ่านมา ตั้งแต่การวิเคราะห์ การออกแบบและการพัฒนา เพื่อที่จะให้เว็บที่สร้างขึ้นทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ชม

8.พยายามกระชับโครงสร้างของเว็บไซท์ ไม่ให้เละเทะ เยิ่นเย้อ หัวข้อสะเปะสะปะไปหมด แบบนี้แย่ครับ กรุณาจัดโครงสร้างให้เรียบร้อย หัวข้อไหนที่มันคล้ายคลึงกัน ก็ยุบให้มันเหลืออันเดียวที่ เข้าใจได้ชัดสุด จะดีกว่า

9.เช็คให้แน่นอนเลยว่า หน้าที่สำคัญๆของเว็บ จะต้องไม่ถูกซ่อน หรือ หาไม่สะดวก แบบคนชมหาที่คลิกไม่เจอ

10.ข้อสุดท้าย เว็บไซท์ทุกหน้า จะต้องมีแนวทางไปในทางเดียวกัน แบบเอกเทศน์ ไม่ใช่ หน้านึงออกแบบอย่างพอคลิกอีกหน้า ดันออกแบบอีกอย่าง

ความรู้เพิ่มเติม

การสร้างสารสนเทศหรือสื่อด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศมีลักษณะเป็นการนำเสนอ (Presentation) ซึ่งอาจจะใช้ห้องที่จัดไว้โดยเฉพาะโดยผ่านอุปกรณ์ เช่น เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องรับโทรทัศน์ หรือฉายด้วยเครื่องฉาย ส่วนอีกประเภท ได้แก่ การสร้างสารสนเทศและนำไปเสนอผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเตอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต สำหรับเทคนิคการสร้างมีความแตกต่างกันเล็กน้อย

ข้อสันนิษฐาน

คดี และข้อสันนิษฐานทางโลก
ต้องอาศัยหลักฐานและพยานเป็นสำคัญ
แต่สำหรับเรื่องราวของแต่ละชีวิตแล้ว
ไม่ควรเลยที่จะมีข้อสันนิษฐาน
แค่เพียงเรานึกถึงความยากจนข้นแค้น
มันก็ไม่ทำให้เรารู้จักความจนนั้ได้แท้จริง
ทุกชีวิตย่อมกระทำไปตามเหตุปัจจัยของเขา
เราไม่ใช่เขา และก็ไม่รู้สาเหตุปัจจัยทั้งหมดของเขา
ไฉนเราจึงไปสันนิษฐานวิจารณ์เขาเล่า
การตัดสินที่อาศัยแต่เพียงหลักฐานพยาน
เป็นการตัดสินที่อยุติธรรม
เพราะหลักฐานพยานเป็นมายาภายนอก
ที่อาจเนรมิตบิดเบือนได้ด้วยอำนาจ
หลักฐานพยานอย่างดีก็เป็นแค่เรื่องจริง
ซึ่งไม่แน่ว่าจะให้ความจริงได้ทั้งหมด
เชื่อถือแต่เพียงหลักฐาน พยาน
ก็อาจเป็นการทำร้ายชีวิตที่บริสุทธิ์

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เกิดอะไรขึ้นที่เชอร์โนบิล


ในวันที่ 26 เมษายน 2529 ได้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ขึ้นที่หน่วยที่ 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ประเทศยูเครน อดีตสหภาพโซเวียตโซเชียลลิส
ทีมปฏิบัติการวางแผนที่จะทดสอบว่ากังหันจะสามารถผลิตพลังงานเพียงพอที่จะทำให้เครื่องปั๊มความเย็นทำงานเมื่อสูญเสียพลังงานหรือไม่ ก่อนที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานดีเซลฉุกเฉินจะเริ่มทำงาน
เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟฟ้าของเครื่องปฏิกรณ์ขัดข้อง ระบบรักษาความปลอดภัยได้ถูกปิดโดยเจตนา และมีการลดกำลังไฟฟ้าของเครื่องปฏิกรณ์ลง 25% ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เป็นไปตามแผน โดยกำลังไฟฟ้าของเครื่องปฏิกรณ์ลดลงเหลือต่ำกว่า 1% ดังนั้นจึงต้องเพิ่มกำลังไฟฟ้าขึ้นอย่างช้าๆ แต่ 30 วินาทีหลังเริ่มทดสอบ กำลังไฟฟ้าได้พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด และระบบหยุดทำงานฉุกเฉินของเครื่องปฏิกรณ์ (ซึ่งใช้สำหรับหยุดปฏิกิริยาลูกโซ่) ล้มเหลว
ธาตุของเชื้อเพลิงในเครื่องปฏิกรณ์ปะทุออก ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ฝาปิดสนิทน้ำหนัก 1,000 ตันของเครื่องปฏิกรณ์ระเบิดออก อุณหภูมิมากกว่า 2,000 องศาเซลเซียสทำให้แท่งเชื้อเพลิงหลอมละลาย ตะกั่วดำที่ใช้เคลือบเครื่องปฏิกรณ์ติดไฟ และลุกไหม้เป็นเวลา 9 วันทำให้รังสีปริมาณมหาศาลกระจายสู่สิ่งแวดล้อม อุบัติเหตุครั้งนี้ปล่อยรังสีออกมามากกว่าการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงบนฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม 2488
การเก็บกวาด
ความพยายามในช่วงแรกๆ ที่จะดับไฟที่กำลังลุกไหม้เครื่องปฏิกรณ์ คือ การฉีดน้ำเย็นไปที่เครื่องปฏิกรณ์ หลังฉีดน้ำ 10 ชั่วโมง ไม่มีการดำเนินการใดต่ออีก ในวันที่ 27 เมษายน - 5 พฤษภาคม เฮลิคอปเตอร์ของทหารมากกว่า 30 ลำบินขึ้นเหนือเครื่องปฏิกรณ์ที่กำลังลุกไหม้ และทิ้งตะกั่ว 2,400 ตัน และทราย 1,800 ตันลงไป เพื่อพยายามดับไฟและดูดซับรังสี
ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วกลับทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะความร้อนได้ทับถมใต้วัสดุที่ถูกทิ้งลงไป ทำให้อุณหภูมิของเครื่องปฏิกรณ์เพิ่มขึ้นอีกครั้ง รวมถึงรังสีปริมาณมากถูกปล่อยออกมา ในช่วงสุดท้ายของการดับไฟ แกนของเครื่องปฏิกรณ์ถูกทำให้เย็นลงด้วยไนโตรเจน ไฟที่ลุกไหม้และการปล่อยกัมมันตภาพรังสีไม่สามารถถูกควบคุมได้จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม
แม้จะเป็นอันตรายอย่างเ้ห็นได้ชัด แต่การรับมือกับหายนะครั้งนี้ต้องใช้คน ไม่ใช่คนจำนวนน้อย แต่เป็นหลายพันคน ที่ต้องเสียสละชีวิตและสุขภาพเพื่อความพยายามที่เปล่าประโยชน์ในการควบคุมหายนะครั้งนี้ คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า "นักกู้ภัย"
นักดับเพลิง 600 คน ของหน่วยดับเพลิงของโรงไฟฟ้า และทีมปฏิบัติการของโรงไฟฟ้าคือกลุ่มผู้ได้รับรังสีรุนแรงที่สุด โดยในกลุ่มนี้ 130 คนได้รับรังสีในปริมาณเท่ากับขีดสูงสุดต่อปีของการได้รับรังสีของคนงานรวม 650 ปี บุคลากรทางการทหารหลายพันคนและคนงานจากที่อื่นๆ ถูกเกณฑ์ไปช่วยเคลื่อนย้ายวัสดุกัมมันภาพรังสีที่อันตรายถึงชีวิต โดยมีการป้องกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
คนงาน 31 คนเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน 600,000 - 800,000 คนมีส่วนในการปฏิบัติการเก็บกวาดที่เชอร์โนบิลจนถึงพ.ศ. 2532 ในกลุ่มนี้ 300,000 คนได้รับรังสีเกินขีดสูงสุดสำหรับประชาชน 500 เท่าเป็นเวลา 1 ปี ปัจจุบันผู้ที่รอดชีวิตยังทุกข์ทรมานกับสุขภาพที่ถูกทำลาย
คำถามที่ว่า จนถึงปัจจุบันคนเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปกี่คนเป็นคำถามที่เป็นที่โต้เถียงกันมาก หน่วยงานรัฐบาลในอดีตประเทศในสหภาพโซเวียต 3 ประเทศที่มีประชาชนได้รับผลกระทบระบุว่า จนถึงปัจจุบัน "นักกู้ภัย" ประมาณ 25,000 คน ได้เสียชีวิตลง แต่สมาคมเพื่อนักกู้ภัยทั้งหลายใน 3 ประเทศนี้ได้ประมาณการตัวเลขที่มากกว่าตัวเลขของทางการมาก ในทางตรงกันข้าม รายงานจากการประชุมเชอร์โนบิลในพ.ศ. 2548 ระบุตัวเลขของการเสียชีวิตของนักกู้ภัยที่น้อยกว่ามาก
ตัวเลขที่ไม่ตรงกันนี้เกิดจากวิธีการในการประเมินที่ต่างกัน นอกจากนี้สถิติของนักกู้ภัย (จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและปริมาณรังสีที่ได้รับ) ถูกบิดเบือนโดยหน่วยงานต่างๆ ของโซเวียต ดังนั้นจึงอาจไม่มีวันทราบตัวเลขที่น่าเชื่อถือที่สุดได้
การสิ้นสุดของหายนะ?
ในวันที่ 22 ธันวาคม 2531 นักวิทยาศาสตร์ของโซเวียตประกาศว่า "โลงศพโบราณ" ที่ปัจจุบันใช้ห่อหุ้มเครื่องปฏิกรณ์นั้นถูกออกแบบให้มีอายุเพียง 20-30 ปี
3 ปีหลังเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิล รัฐบาลโซเวียตสั่งหยุดสร้างเครื่องปฏิกรณ์หน่วยที่ 5 และ 6 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ครบวงจรเชอร์โนบิล และหลังการเจรจาระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อหลายครั้ง โรงไฟฟ้าทั้งพื้นที่ถูกปิดตัวลง 14 ปีหลังเกิดอุบัติเหตุในวันที่ 12 ธันวาคม 2543

มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิด 20 ข้อ จากท่าน ว.วชิรเมธี

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

Singapore

       สิงคโปร์ (อังกฤษ: Singapore) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสิงคโปร์ (อังกฤษ: Republic of Singapore) เป็นนครรัฐที่ตั้งอยู่บนเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ละติจูด 1°17'35" เหนือ ลองจิจูด 103°51'20" ตะวันออก ตั้งอยู่ทางใต้สุดของคาบสมุทรมาเลย์ อยู่ทางใต้ของรัฐยะโฮร์ของประเทศมาเลเซีย และอยู่ทางเหนือของหมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซีย

       การเมืองระบอบการปกครองของสิงคโปร์ คือ ระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายเซลลาปัน รามานาทาน เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2542 ส่วนนายกรัฐมนตรีคือ นายลี เซียน ลุง ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากนายโก๊ะ จ๊กตง และนายลี กวน ยูซึ่งมีฐานะเป็นบิดาของนาย ลี เซียน ลุง สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ. 2508 มีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขทางพิธีการ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขทางด้านบริหาร สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางการเมืองมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เพราะนับแต่ตั้งประเทศเป็นต้นมา มีรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวและเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีการควบคุมสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนและประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างค่อนข้างเข้มงวด
ภูมิศาสตร์ภาคกลางและภาคตะวันตกเป็นเนินเขา ซึ่งเนินเขาทางภาคกลางเป็นเนินเขาที่สูงที่สุดของประเทศ เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของสิงคโปร์ และภาคตะวันออกเป็นที่ราบต่ำ ชายฝั่งทะเลมักจะต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ต้องมีการถมทะเล
สถานที่ท่องเที่ยว

     แบบจำลองเมืองสิงคโปร์ บริเวณ Marina Bay ปากแม่น้ำสิงคโปร์หากแบ่งตามภูมิศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศสิงคโปร์ มีดังนี้
ภาคตะวันออก - Katong, Pasir Ris, Changi/Pulau Ubin
ภาคตะวันตก - Kent Ridge, Mount Faber, Bukit Timah
ภาคเหนือ - Thomson, Lim Chu Kang/Tengah
ภาคกลาง - Balestier, Chinatown, แม่น้ำสิงคโปร์
สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมักอยู่ในตอนกลาง ได้แก่ พื้นที่บริเวณ Marina Bay, ปากแม่น้ำสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมอร์ไลออน (Merlion) , อาคารโรงละคร Esplanade ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่, สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำ บริเวณพื้นที่ริมน้ำ ได้แก่ Clarke Quay, Boat Quay, ย่านไชน่าทาวน์ (China Town) , ย่าน Little India, ย่านชอปปิ้ง บนถนน Orchard
ส่วนบริเวณเมืองรอบนอกนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวกระจายอยู่โดยรอบ สามารถเข้าถึงได้โดยรถไฟ MRT และ รถประจำทาง ได้แก่ เกาะเซนโตซา (Sentosa Island) บริเวณ Harbour Front, สวนสัตว์กลางคืน (Night Safari) , สวนนกจูร่ง (Jurong Birdpark) เป็นต้น

เศรษฐกิจ
1.การเพาะปลูก ปลูกยางพารา มะพร้าว ผัก ผลไม้ แต่พื้นที่มีจำกัด
2.อาศัยวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน มีอุตสาหกรรมเบา เช่น ผลิตยางพารา ขนมปัง เครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมหนัก เช่น อู่ต่อเรือ ทำเหล็กกล้า ยางรถยนต์ มีกิจการกลั่นน้ำมันซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและเป็นผู้สร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันรายใหญ่ด้วย
3.การค้าขาย เป็นท่าเรือปลอดภาษี ประเทศต่าง ๆ ส่งสินค้าต่าง ๆ มายังสิงคโปร์เพื่อส่งออก และสิงคโปร์ยังรับสินค้าจากยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เพื่อส่งไปขายต่อยังประเทศเพื่อนบ้าน มีท่าเรือน้ำลึก เหมาะในการจอดเรือส่งสินค้า
       สิงคโปร์เป็นประเทศที่เล็กที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากเหมือนประเทศอื่น แต่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี เพราะสิงคโปร์พัฒนาเศรษฐกิจด้านการค้า โดยเป็นประเทศพ่อค้าคนกลางในการขายสินค้าเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าปลอดภาษี ทำให้สินค้าที่ผ่านทางสิงคโปร์มีราคาถูก ปัจจุบันสิงคโปร์มีท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ และทันสมัยที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และยังได้เข้าไปลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชาและพม่า สิงคโปร์มีประชากรน้อยจึงต้องพึงพาแรงงานจากต่างชาติในทุกระดับ สิงค์โปร์เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงให้ และมีฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินที่มั่งคั่งที่สุดประเทศนึงในโลก
ประชากรประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาค และเป็นประเทศเล็กที่สุดในภูมิภาค เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของโลก มีจำนวนประชากรประมาณ 5.08 ล้านคน (2553) ประกอบด้วยชาวจีน (76.5%) ชาวมาเลย์ (13.8%) ชาวอินเดีย (8.1%) และอื่น ๆ (1.6%)